*จาก share ใน fb ท่านนึง ...
อ่านขำๆไม่ต้องซีเรียส เอาหุ้นไปทำการบ้านต่อได้
1️⃣ ถ้าไม่มี S&P 500 Index Fund ผมจะถือ Amazon (AMZN) ไปเลย เพราะรายได้กระจายหลายเส้นทาง ทั้ง AWS (คลาวด์), E-commerce, โฆษณา และฟินเทค เหมือนเราถือ “เศรษฐกิจดิจิทัลสหรัฐฯ” ครบในหุ้นตัวเดียว
2️⃣ ถ้าไม่มี Safe Haven แบบคลาสสิก ผมจะถือ PepsiCo (PEP) เพราะไม่ว่าเศรษฐกิจจะติดไฟแค่ไหน คนก็ยังซื้อเครื่องดื่มและขนม รายได้จึงหนาและมั่นคง
3️⃣ ถ้าไม่มี Clean-Energy ETF ผมจะถือ NextEra Energy (NEE) เพราะนี่คือยูทิลิตี้ที่สร้างไฟฟ้าจากลม–แดดมานานแล้ว เติบโตด้วยวินัย เห็นภาพกำไรมั่นคง ไม่ต้องลุ้นแรงเหมือนเก็งหุ้นโซลาร์รายตัว
4️⃣ ถ้าไม่มี Global ETF ผมจะถือ Nestlé คู่กับ Unilever แบรนด์ที่อยู่ในตู้เย็นเกือบทุกบ้านทั่วโลก รายได้กระจายหลายทวีป และยังช่วย hedge ความเสี่ยงค่าเงินได้ไปในตัว
5️⃣ ถ้าไม่มี Treasury Ladder ผมจะถือ ICSH กองทุนที่จัดพอร์ตเงินสั้น ดิวเรชันต่ำ ช่วยรับดอกเบี้ยระยะสั้นได้พอชนเงินเฟ้อใกล้ ๆ และจัดการสภาพคล่องได้ง่าย
6️⃣ ถ้าไม่มี Tech-Growth ETF ผมจะถือ ASML กับ Synopsys เพราะทุกชิปในโลกต้องผ่านเครื่อง EUV ของ ASML และซอฟต์แวร์ออกแบบจาก Synopsys เสมือนเป็น “หลังบ้าน” ของอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ทั้งหมด
7️⃣ ถ้าไม่มี Inflation Hedge ผมจะถือ หุ้นพลังงาน คู่กับ หุ้นบ้านจัดสรร เพราะค่าครองชีพที่สูงขึ้นมักส่งผ่านไปกำไรของสองกลุ่มนี้ได้อย่างตรงไปตรงมา
8️⃣ ถ้าไม่มี DCA Bot ผมจะตั้งออโต้ลงทุนใน SCHD กองหุ้นคุณภาพสูงที่มีปันผลเติบโตเป็นวินัย เหมือนการจ่ายบิลให้ตัวเองทุกเดือน
9️⃣ ถ้ามีเงินก้อนใหญ่ แต่อยากลงทุนเฉพาะในไทย ผมจะถือ SCB X (SCB) ธนาคารเบอร์ต้น ๆ ที่ปันผลเด่น เหมาะจะเป็นคอร์หุ้นไทยในสัดส่วนเล็ก ๆ
1️⃣0️⃣ ถ้าไม่มี Inverse ETF ผมจะถือ เงินสด เพราะเงินสดคือออปชันที่ไม่มีวันหมดอายุ มันถูกเสมอเวลาตลาดแพงเกินไป และพร้อมให้ใช้ทันทีเมื่อมีโอกาสใหม่
1️⃣1️⃣ ถ้าไม่มี Small-Cap Index ผมจะเลือก ARKK ไปเลย เพราะมันคือการเดิมพันหนัก ๆ บนนวัตกรรม หุ้นขนาดเล็กที่มักวิ่งแรงในช่วงขาขึ้น แต่ก็พร้อมทิ้งดิ่งในช่วงขาลง ผลตอบแทนเลยสุดโต่งทั้งสองทาง
1️⃣2️⃣ ถ้าไม่มี Healthcare ETF ผมจะถือ Eli Lilly (LLY) ที่ได้แรงหนุนจากเมกะเทรนด์ผู้สูงวัย บวกกับตัวยาบล็อกบัสเตอร์อย่าง Zepbound และ tirzepatide pipeline ซึ่งยังเปิดช่องทางเติบโตอีกยาว
1️⃣3️⃣ ถ้าไม่มี Consumer ETF ผมจะไปกับ Walmart (WMT) เพราะรายได้มันผูกกับการใช้จ่ายประจำของครัวเรือน คนต้องกิน ต้องใช้ แม้เศรษฐกิจผันผวนก็ยังหนี Walmart ไม่พ้น
1️⃣4️⃣ ถ้าไม่มี Dividend Aristocrats ผมจะถือ Texas Instruments (TXN) บริษัทที่มีวินัยในการคืนเงินสดชัดเจน ปันผลโตติดต่อกันยาว ๆ เหมือนปลูกต้นไม้ที่ออกดอกสม่ำเสมอ
1️⃣5️⃣ ถ้าไม่มี Nasdaq ETF ผมจะถือ Nvidia (NVDA) เพราะมันคือ “ดัชนี Compute” ที่แบกทุกเมกะเทรนด์ ไม่ว่าจะ AI, Robotics หรือ Cloud ก็ต่างต้องใช้ชิปของมัน
1️⃣6️⃣ ถ้าไม่มี Bond Duration ผมจะถือ Vertiv (VRT) เพราะรายได้ของมันผูกติดกับ CapEx ดาต้าเซ็นเตอร์ยาว ๆ กระแสเงินสดเลยไหลยืดยาวเหมือนถือบอนด์อายุ 10–20 ปี
1️⃣7️⃣ ถ้าไม่มี Value ETF ผมจะถือ Berkshire Hathaway (BRK) เพราะนี่คือ Value Fund ยักษ์ที่ไม่เก็บค่าธรรมเนียม และรีบาลานซ์พอร์ตตัวเองตลอดเวลา
1️⃣8️⃣ ถ้าไม่มี Fed Put ผมจะถือ Apple (AAPL) บริษัทที่เน็ตแคชสูงมหาศาล และซื้อหุ้นคืนต่อเนื่อง ทำให้ราคามีแรงพยุงเชิงโครงสร้างในแทบทุกจังหวะ
1️⃣9️⃣ ถ้าไม่มี Commodity Futures ผมจะถือ Freeport-McMoRan (FCX) เพราะทองแดงคือ “เส้นประสาทของพลังงานใหม่” ที่ต้องใช้ทุกครั้งเมื่อโลกเร่งลงทุนไฟฟ้า
2️⃣0️⃣ ถ้าไม่มี AI-Megacap ETF ผมจะถือ Microsoft (MSFT) เพราะ Azure + Copilot ทำให้มันกลายเป็น “ระบบปฏิบัติการของเศรษฐกิจ AI” ที่ธุรกิจแทบทุกแห่งต้องใช้
2️⃣1️⃣ ถ้าโลกนี้ไม่มี U.S. Treasury ผมจะซุกเงินไว้ที่ Costco (COST) เพราะอัตราต่ออายุสมาชิกสูงเกิน 90% ทั้งในสหรัฐและต่างประเทศ กระแสเงินสดที่ไหลเข้ามาจึงนิ่งเหมือนบอนด์เกรดคุณภาพ เพียงแต่ต้องยอมรับความผันผวนของราคาหุ้นให้ได้
2️⃣2️⃣ ถ้าไม่มี High-Yield Savings ผมจะพักเงินไว้ใน Realty Income (O) ที่ขึ้นชื่อเรื่องปันผลรายเดือนสม่ำเสมอ จ่ายมาติดต่อกันกว่า 660 เดือน จนกลายเป็นที่จอดเงินที่ยังมีเงินสดไหลเข้าทุกเดือน
2️⃣3️⃣ ถ้าไม่มี TIPS ผมจะหันไปหา Brookfield Infrastructure (BIPC) แทน เพราะสัญญาโครงสร้างพื้นฐานกว่า 70% ผูกกับ CPI ทำให้กระแสเงินสดโตตามเงินเฟ้อแบบอัตโนมัติ
2️⃣4️⃣ ถ้าไม่มี Corporate-Bond ETF ผมจะเลือก Visa (V) ธุรกิจ “เครื่องจักรเงินหมุนก่อนตัดบัญชี” ที่ทำกำไรได้สูงราวกับบอนด์คุณภาพ เพียงแต่ต้องทำใจว่าความผันผวนแรงกว่า
2️⃣5️⃣ ถ้าใครพลาดรถไฟ ทองคำ มาตั้งแต่สามสิบปีก่อน ผมจะถือ Bitcoin (BTC) เพราะซัพพลายถูกล็อกไว้ที่ 21 ล้านเหรียญตายตัว มันจึงทำหน้าที่คล้ายทองคำดิจิทัล แต่ต้องใจแข็งพอจะรับความผันผวน
2️⃣6️⃣ ถ้าไม่มี เงินฝากรายเดือน ผมจะเลือก SGOV กองทุน ETF ที่ถือ T-Bill อายุสั้นไม่เกิน 3 เดือน ดอกเบี้ยอัปเดตตรงจาก Fed แบบเรียบง่าย
2️⃣7️⃣ ถ้าไม่มี REIT รวมตลาด ผมจะถือ Prologis (PLD) เจ้าใหญ่โกดังและคลังสินค้าอีคอมเมิร์ซที่มีฐานผู้เช่ากระจายทั่วโลก
2️⃣8️⃣ ถ้าไม่มี Infrastructure Bond ผมจะถือหุ้นอย่าง Vinci, Ferrovial และ Caterpillar เพราะทั้งสามบริษัทคือเสาหลักในโครงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานทั่วโลก กิน CapEx ภาครัฐและเอกชนโดยตรง
2️⃣9️⃣ ถ้าไม่มีกองทุน AI & Big Data ผมจะถือ Palantir (PLTR) เพราะนี่คือ "ระบบปฏิบัติการแห่งการตัดสินใจ" (Decision OS) ที่เชื่อมข้อมูลมหาศาลเข้ากับการปฏิบัติงานจริง ทั้งในสนามรบและในโลกธุรกิจ เป็นโครงสร้างพื้นฐานสำคัญในยุคที่ความเร็วและแม่นยำในการตัดสินใจคือผู้ชน
3️⃣0️⃣ ถ้าไม่มีกองทุน Deep Tech ผมจะถือ Oklo (OKLO) บริษัทพัฒนา "แบตเตอรี่นิวเคลียร์" ขนาดเล็ก ที่จะมาปลดล็อกพลังงานสะอาดและสม่ำเสมอให้กับโลกยุค AI และ Data Center ซึ่งต้องการไฟฟ้ามหาศาล นี่คือการเดิมพันกับพลังงานแห่งอนาคตที่ได้รับการสนับสนุนโดยตรงจาก Sam Altman ทำให้เป็นมากกว่าแค่หุ้นโรงไฟฟ้าธรรมดา

3️⃣1️⃣ ถ้าไม่มี Emerging-Market ETF ผมจะถือ Diageo (DEO) เพราะเป็นเจ้าของแบรนด์สุราชั้นนำที่เจาะตลาดเกิดใหม่ทั่วโลก ตั้งแต่ Johnnie Walker ไปจนถึง Smirnoff เมื่อชนชั้นกลางมีรายได้เพิ่มขึ้น สิ่งแรก ๆ ที่พวกเขาบริโภคคือสินค้าฟุ่มเฟือยที่จับต้องได้
3️⃣2️⃣ ถ้าไม่มี China ETF ผมจะถือ Hermès (RMS.PA) แบรนด์หรูจากฝรั่งเศสที่อำนาจการตั้งราคาสูงเสียดฟ้า และเป็นที่ต้องการของเศรษฐีจีนโดยไม่สนสภาวะเศรษฐกิจ เป็นการเกาะกระแสกำลังซื้อจีนแบบเลี่ยงความเสี่ยงด้านกฎระเบียบโดยตรง
3️⃣3️⃣ ถ้าไม่มี Japan ETF ผมจะเลือก Keyence (6861.T) บริษัทเซ็นเซอร์และระบบอัตโนมัติในโรงงานที่ทำกำไรสูงลิ่ว เปรียบเสมือน "สมอง" ของภาคการผลิตทั่วโลกที่ลูกค้าญี่ปุ่นและต่างชาติขาดไม่ได้
3️⃣4️⃣ ถ้าไม่มี Europe ETF ผมจะถือ ASML Holding (ASML) บริษัทเดียวในโลกที่ผลิตเครื่องจักร EUV สำหรับการผลิตชิปขั้นสูง ไม่ว่าบริษัทเทคโนโลยีในยุโรปหรืออเมริกาจะเติบโตแค่ไหน ก็ต้องพึ่งพาเทคโนโลยีจากเนเธอร์แลนด์เจ้านี้
3️⃣5️⃣ ถ้าไม่มี Travel ETF (เช่น JETS) ผมจะถือ Booking Holdings (BKNG) แพลตฟอร์มจองที่พักและตั๋วเครื่องบินที่ใหญ่ที่สุดในโลก กินค่าคอมมิชชันจากการเดินทางทั่วโลกโดยไม่ต้องแบกรับต้นทุนคงที่ของสายการบินหรือโรงแรม
3️⃣6️⃣ ถ้าไม่มี Medical-Devices ETF ผมจะถือ Intuitive Surgical (ISRG) ผู้นำตลาดหุ่นยนต์ช่วยผ่าตัด Da Vinci ที่มีรายได้สม่ำเสมอจากการขายเครื่องและวัสดุสิ้นเปลืองที่ต้องใช้ซ้ำ เหมือนโมเดล "มีดโกนกับใบมีด" ในวงการแพทย์
3️⃣7️⃣ ถ้าไม่มี Homebuilders ETF ผมจะถือ Home Depot (HD) เพราะไม่ว่าใครจะสร้างบ้านใหม่หรือซ่อมแซมบ้านเก่า ก็ต้องวิ่งไปซื้ออุปกรณ์จากที่นี่ เป็นหุ้นที่กินรวบทั้งตลาดอสังหาริมทรัพย์ขาขึ้นและช่วงซ่อมบำรุง
3️⃣8️⃣ ถ้าไม่มี Industrial ETF ผมจะถือ Siemens (SIE.DE) ยักษ์ใหญ่จากเยอรมนีที่ทำธุรกิจตั้งแต่รถไฟความเร็วสูง, ระบบอัตโนมัติในโรงงาน, ไปจนถึงเครื่องมือแพทย์ เหมือนถือ "ดัชนีอุตสาหกรรมยุโรป" ในบริษัทเดียว
3️⃣9️⃣ ถ้าไม่มี Financials ETF ผมจะถือ JPMorgan Chase (JPM) ธนาคารที่ใหญ่และครบวงจรที่สุดในสหรัฐฯ ภายใต้การนำของ Jamie Dimon ที่ผ่านทุกวิกฤตมาได้อย่างแข็งแกร่ง เปรียบเสมือนเสาหลักของระบบการเงินโลก

4️⃣0️⃣ ถ้าไม่มี Software ETF ผมจะถือ Constellation Software (CSU.TO) บริษัทที่ไล่ซื้อกิจการซอฟต์แวร์เฉพาะทาง (Vertical Market Software) ที่มีความเหนียวแน่นของลูกค้าสูง แล้วบริหารจัดการกระแสเงินสดอย่างมีวินัยเหมือน Berkshire Hathaway ในโลกซอฟต์แวร์
4️⃣1️⃣ ถ้าไม่มี Cybersecurity ETF ผมจะถือ CrowdStrike (CRWD) ผู้นำด้าน Endpoint Security บนคลาวด์ที่เติบโตเร็วมาก เพราะในยุคดิจิทัล งบประมาณด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์คือสิ่งสุดท้ายที่องค์กรจะตัด
4️⃣2️⃣ ถ้าไม่มี Luxury-Goods ETF ผมจะถือ LVMH (MC.PA) อาณาจักรแบรนด์หรูที่ใหญ่ที่สุดในโลก ตั้งแต่แฟชั่น, เครื่องหนัง, นาฬิกา, ไปจนถึงไวน์ รายได้กระจายตัวทั่วโลกและมีอำนาจในการกำหนดราคาสูงสุด ๆ
4️⃣3️⃣ ถ้าไม่มี E-commerce ETF ผมจะถือ Shopify (SHOP) แพลตฟอร์มที่เปิดโอกาสให้ใครก็ได้สร้างร้านค้าออนไลน์ของตัวเอง เปรียบเสมือน "พลั่วกับเสียม" ในยุคตื่นทองอีคอมเมิร์ซ ยิ่งมีผู้ค้ามากเท่าไหร่ Shopify ก็ยิ่งเติบโต
4️⃣4️⃣ ถ้าไม่มี Payment-Processing ETF ผมจะถือ Adyen (ADYEN.AS) แพลตฟอร์มรับชำระเงินครบวงจรที่บริษัทเทคโนโลยีระดับโลกเลือกใช้ เพราะรวมทุกช่องทางการจ่ายเงินไว้ในที่เดียว ทำให้เป็นโครงสร้างพื้นฐานทางการเงินที่เปลี่ยนออกยาก
4️⃣5️⃣ ถ้าไม่มี Aerospace & Defense ETF ผมจะถือ RTX Corporation (RTX) ผู้ผลิตเครื่องยนต์ไอพ่นและระบบขีปนาวุธชั้นนำของโลก รายได้ผูกกับทั้งการเดินทางทางอากาศเชิงพาณิชย์และงบประมาณกลาโหมที่มั่นคง
4️⃣6️⃣ ถ้าไม่มี Logistics ETF ผมจะถือ United Parcel Service (UPS) เพราะการเติบโตของอีคอมเมิร์ซทำให้ธุรกิจจัดส่งพัสดุกลายเป็นเส้นเลือดใหญ่ของเศรษฐกิจสมัยใหม่ และ UPS คือหนึ่งในผู้เล่นรายใหญ่ที่มีเครือข่ายครอบคลุมทั่วโลก
4️⃣7️⃣ ถ้าไม่มี Water ETF ผมจะถือ Xylem (XYL) บริษัทเทคโนโลยีด้านการจัดการน้ำ ตั้งแต่ปั๊มน้ำอัจฉริยะไปจนถึงระบบบำบัดน้ำเสีย เป็นเมกะเทรนด์ที่ทั่วโลกต้องลงทุนเพื่อรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
4️⃣8️⃣ ถ้าไม่มี Momentum ETF ผมจะถือ Nvidia (NVDA) อีกครั้ง แต่ในมุมมองของโมเมนตัม เพราะมันคือหุ้นที่นักลงทุนสถาบันและรายย่อยต่างจับจ้อง เป็นศูนย์กลางของเรื่องเล่า (Narrative) ที่แข็งแกร่งที่สุดในตลาดตอนนี้
4️⃣9️⃣ ถ้าไม่มี Low-Volatility ETF ผมจะถือ Procter & Gamble (PG) เจ้าของแบรนด์สินค้าอุปโภคบริโภคที่ผู้คนใช้ในชีวิตประจำวัน ไม่ว่าเศรษฐกิจจะเป็นอย่างไร คนก็ยังต้องแปรงฟัน, ซักผ้า, และโกนหนวด ทำให้รายได้และราคาหุ้นมีความผันผวนต่ำ
5️⃣0️⃣ ถ้าไม่มี Quality ETF ผมจะถือ Microsoft (MSFT) เพราะมีทุกองค์ประกอบของหุ้นคุณภาพสูง: งบดุลแข็งแกร่ง, กำไรเติบโตสม่ำเสมอ, มีความได้เปรียบเชิงแข่งขันที่ยั่งยืน (Moat) และมีวินัยในการคืนกำไรให้ผู้ถือหุ้น
5️⃣1️⃣ ถ้าไม่มี Natural Gas ETF ผมจะถือ Cheniere Energy (LNG) ผู้ส่งออกก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) รายใหญ่ของสหรัฐฯ ซึ่งได้ประโยชน์โดยตรงเมื่อโลกต้องการแหล่งพลังงานที่สะอาดกว่าถ่านหินและมีความมั่นคงทางภูมิรัฐศาสตร์
5️⃣2️⃣ ถ้าไม่มี Farmland REIT ผมจะถือ Deere & Company (DE) เพราะเป็นผู้นำด้านเครื่องจักรกลการเกษตรที่เกษตรกรทั่วโลกไว้วางใจ การลงทุนในเทคโนโลยีการเกษตรเพื่อเพิ่มผลผลิตเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้
5️⃣3️⃣ ถ้าไม่มี Silver ETF ผมจะถือ Wheaton Precious Metals (WPM) บริษัท Royalty & Streaming ที่ให้เงินทุนแก่เหมืองเพื่อแลกกับสิทธิ์ในการซื้อแร่เงิน (และทอง) ในราคาที่ต่ำกว่าตลาด เป็นวิธีลงทุนในโลหะเงินโดยไม่ต้องเสี่ยงกับการดำเนินงานเหมืองเอง
5️⃣4️⃣ ถ้าไม่มี Gaming ETF ผมจะถือ Take-Two Interactive (TTWO) เจ้าของเกมแฟรนไชส์ระดับโลกอย่าง Grand Theft Auto (GTA) ซึ่งเป็นหนึ่งในผลิตภัณฑ์ความบันเทิงที่ทำกำไรได้มากที่สุดในประวัติศาสตร์
5️⃣5️⃣ ถ้าไม่มี Streaming ETF ผมจะถือ Netflix (NFLX) ในฐานะผู้บุกเบิกและผู้นำตลาดที่พิสูจน์แล้วว่าสามารถสร้างคอนเทนต์ที่ดึงดูดสมาชิกทั่วโลกและทำกำไรได้จริง
5️⃣6️⃣ ถ้าไม่มี Music ETF ผมจะถือ Spotify (SPOT) แพลตฟอร์มสตรีมมิงเพลงที่มีผู้ใช้งานมากที่สุดในโลก การเปลี่ยนผ่านสู่ระบบสมาชิกทำให้รายได้คาดการณ์ได้ง่ายขึ้น
5️⃣7️⃣ ถ้าไม่มี Social Media ETF ผมจะถือ Meta Platforms (META) เพราะยังคงเป็นเจ้าของแพลตฟอร์มโซเชียลที่มีผู้ใช้งานรวมกันมากที่สุดในโลก (Facebook, Instagram, WhatsApp) และกำลังเดิมพันครั้งใหญ่กับ Metaverse
5️⃣8️⃣ ถ้าไม่มี Ad-Tech ETF ผมจะถือ The Trade Desk (TTD) แพลตฟอร์มฝั่งซื้อ (Demand-Side Platform) สำหรับการซื้อโฆษณาดิจิทัลแบบ Programmatic ที่เติบโตไปพร้อมกับเม็ดเงินโฆษณาที่ย้ายจากสื่อดั้งเดิมมาสู่โลกออนไลน์
5️⃣9️⃣ ถ้าไม่มี Pet-Care ETF ผมจะถือ Zoetis (ZTS) บริษัทเวชภัณฑ์สำหรับสัตว์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก เทรนด์ "Pet Humanization" หรือการเลี้ยงสัตว์เหมือนสมาชิกในครอบครัว ทำให้ผู้คนยอมจ่ายเงินเพื่อสุขภาพของสัตว์เลี้ยงมากขึ้นเรื่อยๆ
6️⃣0️⃣ ถ้าไม่มี "Sin Stock" ETF (หุ้นบาป) ผมจะถือ Philip Morris International (PMI) ผู้นำตลาดยาสูบไร้ควัน (Heated Tobacco) อย่าง IQOS ซึ่งเป็นอนาคตของอุตสาหกรรม และมีอำนาจในการส่งผ่านต้นทุนไปยังผู้บริโภคได้อย่างเต็มที่
6️⃣1️⃣ ถ้าไม่มีกองทุนอินเดีย ผมถือ HDFC Bank คู่กับ TCS เพราะการเงินรายย่อยกับบริการไอทีเอาท์ซอร์สคือสองฟันเฟืองหลักของเศรษฐกิจอินเดีย: ฝั่งหนึ่งขยายสินเชื่อและเงินฝากลึกถึงฐานประชาชน อีกฝั่งขายสมองให้บริษัททั่วโลก รายได้เป็นเงินตราต่างประเทศช่วยกระจายความเสี่ยงค่าเงินด้วย
6️⃣2️⃣ ถ้าไม่มีธีมอวกาศแบบสำเร็จรูป ผมถือ Rocket Lab (RKLB) เพื่อเกาะห่วงโซ่ปล่อยดาวเทียมรุ่นใหม่ที่ต้นทุนลดลงเรื่อย ๆ แต่นี่คือพื้นที่ที่ความเสี่ยงสูงมาก ขนาดการลงทุนต้องเล็กและยอมรับความไม่แน่นอนได้
6️⃣3️⃣ ถ้าไม่มีเครื่องมือป้องกันความผันผวนแบบเฉพาะทาง ผมจับคู่ ทองคำ กับ พันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ อายุยาว (เช่น TLT) ง่าย ๆ: ถ้าตลาดร่วงแรง บอนด์ยาวช่วยพยุงมูลค่า ถ้าเงินเฟ้อดื้อด้าน ทองมักทำหน้าที่กันความเสี่ยงได้ดีกว่า
6️⃣4️⃣ ถ้าไม่มี ETF ด้านไบโอเทค ผมถือ Amgen (AMGN) คู่กับ Regeneron (REGN) หนึ่งเด่นเรื่องกระแสเงินสดและพอร์ตยาที่สุกงอม อีกหนึ่งเก่งงานวิจัยเชิงลึกและยากลุ่มชีวภาพ สองสไตล์นี้ช่วยถ่วงดุล “เสถียรภาพรายได้” กับ “ศักยภาพค้นพบใหม่”
6️⃣5️⃣ ถ้าไม่มีอุตสาหกรรมรวมแพ็ก ผมถือ Caterpillar (CAT) กับ Eaton (ETN) ฝั่งหนึ่งผูกกับรอบลงทุนเครื่องจักรหนักทั่วโลก อีกฝั่งเชื่อมระบบไฟฟ้าและโครงสร้างพื้นฐานพลังงาน เมื่อเศรษฐกิจเร่งลงทุน ทั้งคู่มักได้อานิสงส์
6️⃣6️⃣ ถ้าไม่มีธีมกลาโหมแบบกระจายตัว ผมถือ Lockheed Martin (LMT) คู่กับ RTX เพื่อครอบคลุมทั้งแพลตฟอร์มยุทโธปกรณ์ขนาดใหญ่และระบบอิเล็กทรอนิกส์/ชิ้นส่วนขั้นสูง งบกลาโหมที่ต่อเนื่องทำให้รายได้คาดการณ์ได้กว่าหลายอุตสาหกรรม
6️⃣7️⃣ ถ้าไม่มีตะกร้าสินค้าเกษตรล่วงหน้า ผมถือ Deere (DE) คู่กับ Mosaic (MOS) เพราะเครื่องจักรเกษตรและปุ๋ยคือหัวใจห่วงโซ่อาหารโลก เมื่อราคาเกษตรผันผวน วัฏจักรการลงทุนของเกษตรกรและความต้องการธาตุอาหารพืชมักเดินตามมา
6️⃣8️⃣ ถ้าไม่มีตะกร้าฟินเทค ผมถือ Block (SQ) คู่กับ PayPal (PYPL) เพื่อเกาะการชำระเงินยุคใหม่ทั้งฝั่งร้านค้าและผู้บริโภค การเติบโตผูกกับอีคอมเมิร์ซและการใช้จ่ายดิจิทัลโดยตรง
6️⃣9️⃣ ถ้าไม่มี ETF ความปลอดภัยไซเบอร์ ผมถือ CrowdStrike (CRWD) คู่กับ Palo Alto Networks (PANW) สองเสาหลักของการป้องกันภัยดิจิทัล องค์กรจำเป็นต้องจ่ายแม้ในช่วงเศรษฐกิจชะลอ ทำให้รายได้มีความยืดหยุ่นสูง
7️⃣0️⃣ ถ้าไม่มีหุ้นต่างประเทศแบบกระจายกว้าง ผมถือ Novo Nordisk (NVO) คู่กับ LVMH ด้านหนึ่งเกาะเมกะเทรนด์สุขภาพและโรคเรื้อรังทั่วโลก อีกด้านคืออำนาจตั้งราคาของแบรนด์หรูระดับโลก สองขานี้ช่วยกระจายภูมิภาค รายได้ และสกุลเงินได้พร้อมกัน
7️⃣1️⃣ ถ้าไม่มี “กองปันผลรวม ๆ” ผมถือ Coca-Cola (KO) คู่กับ Johnson & Johnson (JNJ) แกนซ้ายคือสินค้าอุปโภคบริโภคที่คนซื้อซ้ำไม่เลิก แกนขวาคือสุขภาพที่จำเป็นต่อชีวิต สองบริษัทนี้มีวินัยจ่ายเงินสดให้ผู้ถือหุ้นมายาวนาน พอร์ตเลยนิ่งและเข้าใจง่าย
7️⃣2️⃣ ถ้าไม่มีตัวเลือก “เงินสั้นคุณภาพ” ที่คุ้นเคย ผมถือ GSY ให้ทำงานแทน จุดเด่นคืออายุตราสารสั้นมาก เน้นสภาพคล่องและความเสถียร เอาไว้พักเงินระยะสั้นแบบไม่ต้องคิดเยอะ และพร้อมย้ายยิงเข้าหุ้นเมื่อมีจังหวะ
7️⃣3️⃣ ถ้าไม่มี “เหมืองทองรวมแพ็ก” ผมถือ Newmont (NEM) คู่กับ Barrick (GOLD) เหมือนจับคันโยกของราคาทองผ่านผู้ผลิตชั้นนำ เวลาทองขึ้น แรงส่งมักสะท้อนเข้ากำไรเร็วกว่า ถือเป็นทางอ้อมของทองที่เพิ่มเครื่องทวีคูณ
7️⃣4️⃣ ถ้าไม่มีกองเงินแท้เงินขาว ผมถือ เหรียญเงินแท่ง คู่กับ เงินสดดอลลาร์ โลหะเงินให้ความรู้สึกคล้ายทองแต่แกว่งแรงกว่า ส่วนเงินสดดอลลาร์ช่วยคุมสมดุลและพร้อมรับโอกาสใหม่ทันที
7️⃣5️⃣ ถ้าไม่มี “ยูเรเนียมรวม” ผมถือ Cameco (CCJ) กับ Energy Fuels (UUUU) ด้านหนึ่งคือผู้เล่นหลักของเชื้อเพลิงนิวเคลียร์ ด้านหนึ่งคือซัพพลายเชิงยุทธศาสตร์ เมื่อโลกต้องการไฟฟ้าฐานที่เสถียร บทบาทพลังงานนิวเคลียร์กลับมาเด่น และสองบริษัทนี้ยืนแนวหน้า
7️⃣6️⃣ ถ้าไม่มี “ตะกร้าวัตถุดิบแบตฯ” ผมถือ Albemarle (ALB) คู่กับ SQM ลิเทียมคือหัวใจแบตเตอรี่ ทั้งสำหรับรถไฟฟ้าและระบบกักเก็บพลังงาน การเติบโตของสองตลาดนี้ส่งสัญญาณถึงรายได้ผู้ผลิตลิเทียมโดยตรง
7️⃣7️⃣ ถ้าไม่มีธีมไฮโดรเจนสำเร็จรูป ผมถือ Linde (LIN) คู่กับ Air Products (APD) ธุรกิจก๊าซอุตสาหกรรมที่เชื่อมหลายห่วงโซ่ ตั้งแต่โรงงาน โรงไฟฟ้า ไปจนถึงโครงสร้างไฮโดรเจน สองบริษัทนี้คือ “ท่อทางเดินหายใจ” ของภาคการผลิตยุคใหม่
7️⃣8️⃣ ถ้าไม่มี “กองน้ำโลก” ผมถือ American Water Works (AWK) กับ Xylem (XYL) ฝั่งหนึ่งคือสาธารณูปโภคที่เก็บค่าน้ำอย่างมีวินัย อีกฝั่งคือเทคโนโลยีจัดการน้ำและปั๊มอัจฉริยะ สองขานี้จับทั้งรายได้ประจำและนวัตกรรมเพื่อความยั่งยืน
7️⃣9️⃣ ถ้าไม่มี “กองขยะ/สิ่งแวดล้อม” ผมถือ Waste Management (WM) คู่กับ Republic Services (RSG) ธุรกิจเก็บและกำจัดของเสียคือบริการที่สังคมขาดไม่ได้ รายได้จึงมั่นคง พอร์ตจึงนิ่ง โดยเฉพาะในช่วงเศรษฐกิจผันผวน
8️⃣0️⃣ ถ้าไม่มี “อินฟราสร้างโลกแบบกว้าง” ผมถือ Brookfield Infrastructure (BIPC) คู่กับ Eaton (ETN) ด้านแรกคือการถือครองสินทรัพย์จริงที่เก็บค่าผ่าน-ค่าใช้บริการระยะยาว ด้านหลังคือหัวใจระบบไฟฟ้าและพลังงาน สองเสานี้ช่วยรับทั้งกระแสเงินสดและคลื่นลงทุนโครงสร้างพื้นฐานที่ยืดยาว
8️⃣1️⃣ ถ้าไม่มี Private Equity Fund ผมจะถือ Blackstone (BX) เพราะนี่คือราชาแห่งโลกการลงทุนทางเลือกตัวจริง การเติบโตของค่าธรรมเนียมการบริหาร (Fee-related earnings) ทำให้รายได้มีความสม่ำเสมอมากขึ้น และยังได้ประโยชน์จากส่วนแบ่งกำไรเมื่อการลงทุนประสบความสำเร็จ
8️⃣2️⃣ ถ้าไม่มี Venture Capital Fund ผมจะถือ Alphabet (GOOGL) เพราะนอกจากธุรกิจโฆษณาที่แข็งแกร่งแล้ว ยังมีหน่วยลงทุน "Other Bets" ที่เปรียบเสมือนกองทุน VC ภายใน ซึ่งลงทุนในเทคโนโลยีเปลี่ยนโลกอย่าง Waymo (รถยนต์ไร้คนขับ) และ Verily (ชีววิทยาศาสตร์)
8️⃣3️⃣ ถ้าไม่มี Data Center REIT ผมจะถือ Equinix (EQIX) ผู้นำด้านศูนย์ข้อมูลที่มีเครือข่ายเชื่อมต่อกันทั่วโลก เป็น "โรงแรม" สำหรับเซิร์ฟเวอร์ที่บริษัทต่างๆ ขาดไม่ได้ในยุคคลาวด์และ AI
8️⃣4️⃣ ถ้าไม่มี Cell Tower REIT ผมจะถือ American Tower (AMT) เจ้าของเสาสัญญาณมือถือให้เช่าทั่วโลก ที่มีรายได้สม่ำเสมอจากสัญญาระยะยาวกับบริษัทโทรคมนาคม และเติบโตไปพร้อมกับความต้องการใช้ข้อมูล 5G ที่เพิ่มขึ้น
8️⃣5️⃣ ถ้าไม่มี Timber REIT ผมจะถือ Weyerhaeuser (WY) เจ้าของที่ดินป่าไม้รายใหญ่ที่สุดในอเมริกาเหนือ รายได้มาจากทั้งการตัดไม้ขายและการพัฒนาที่ดิน เป็นสินทรัพย์ที่จับต้องได้และเป็นเครื่องป้องกันเงินเฟ้อที่ดี
8️⃣6️⃣ ถ้าไม่มี Self-Storage REIT ผมจะถือ Public Storage (PSA) ธุรกิจให้เช่าห้องเก็บของที่ได้ประโยชน์จาก "4D" ของชีวิตคน: Dislocation (การย้ายที่), Divorce (การหย่าร้าง), Downsizing (การลดขนาดบ้าน), และ Death (การเสียชีวิต) ซึ่งเป็นความต้องการที่เกิดขึ้นตลอดเวลา
8️⃣7️⃣ ถ้าไม่มี Thematic Rotation Strategy ผมจะเลือก Constellation Brands (STZ) บริษัทเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่มีแบรนด์เบียร์ Corona และ Modelo ที่แข็งแกร่งในตลาดสหรัฐฯ และยังมีการลงทุนใน Canopy Growth ซึ่งเป็น Optionality สำหรับตลาดกัญชาในอนาคต
8️⃣8️⃣ ถ้าไม่มี Insurance ETF ผมจะถือ Progressive (PGR) บริษัทประกันภัยรถยนต์ที่ใช้ข้อมูลในการกำหนดเบี้ยประกันได้อย่างเฉียบคม ทำให้มีอัตรากำไรที่ดีกว่าคู่แข่งอย่างสม่ำเสมอ
8️⃣9️⃣ ถ้าไม่มี Railroad ETF ผมจะถือ Canadian National Railway (CNI) ธุรกิจรถไฟที่มีเครือข่ายครอบคลุม 3 ชายฝั่ง (แปซิฟิก, แอตแลนติก, และอ่าวเม็กซิโก) เป็นการผูกขาดทางภูมิศาสตร์ที่ลอกเลียนแบบได้ยากมาก
9️⃣0️⃣ ถ้าไม่มี Semiconductor ETF (SOXX) ผมจะถือ Taiwan Semiconductor Manufacturing Company (TSMC) โรงหล่อชิปที่สำคัญที่สุดในโลก เปรียบเสมือน "ครัวกลาง" ที่บริษัทเทคโนโลยีทุกแห่งตั้งแต่ Apple ถึง Nvidia ต้องมาใช้บริการ
9️⃣1️⃣ ถ้าไม่มี "Work from Home" ETF ผมจะถือ Zoom Video Communications (ZM) เพราะได้กลายเป็น "คำกริยา" ของการประชุมออนไลน์ไปแล้ว และกำลังขยายบริการไปสู่ระบบโทรศัพท์ในองค์กรและศูนย์บริการลูกค้า
9️⃣2️⃣ ถ้าไม่มี Brazil ETF ผมจะถือ MercadoLibre (MELI) แพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซและฟินเทคที่ครองตลาดละตินอเมริกา เปรียบเสมือนการรวมร่างของ Amazon และ PayPal ในภูมิภาคที่กำลังเติบโตสูง
9️⃣3️⃣ ถ้าไม่มี "Picks and Shovels" Fund ผมจะถือ Caterpillar (CAT) อีกครั้ง แต่ในมุมมอง "ผู้ขายพลั่ว" สำหรับทุกเมกะเทรนด์ ไม่ว่าจะเป็นการสร้างเหมืองแร่สำหรับ EV, การสร้างโครงสร้างพื้นฐานใหม่, หรือการขุดเจาะพลังงาน
9️⃣4️⃣ ถ้าไม่มี Hedge Fund Replication ETF ผมจะถือ Ferrari (RACE) บริษัทที่มีอำนาจการตั้งราคาสูงที่สุดในโลก ขายรถได้น้อยแต่กำไรมหาศาล และมี Brand Equity ที่แข็งแกร่งจนราคาหุ้นไม่ค่อยสัมพันธ์กับตลาดโดยรวม
9️⃣5️⃣ ถ้าไม่มี SET50 Index Fund ของไทย ผมจะถือ Airports of Thailand (AOT) เพราะเป็นการผูกขาดสนามบินหลักของประเทศ ซึ่งเป็นประตูสู่รายได้จากการท่องเที่ยวที่เป็นเส้นเลือดใหญ่ของเศรษฐกิจไทย
9️⃣6️⃣ ถ้าไม่มี ESG ETF ผมจะถือ Orsted (ORSTED.CO) ผู้นำด้านฟาร์มกังหันลมนอกชายฝั่งของโลก ที่เปลี่ยนตัวเองจากบริษัทน้ำมันและก๊าซมาสู่พลังงานสะอาดอย่างเต็มตัว เป็นการลงทุนที่สอดคล้องกับเป้าหมายด้านความยั่งยืนระดับโลก
9️⃣7️⃣ ถ้าไม่มี "Dogs of the Dow" Strategy ผมจะถือ Chevron (CVX) หนึ่งในหุ้นปันผลสูงของ Dow Jones ที่มีวินัยด้านการเงินยอดเยี่ยม และยังเป็นที่ชื่นชอบของ Warren Buffett ซึ่งเป็นการการันตีคุณภาพในระดับหนึ่ง
9️⃣8️⃣ ถ้าไม่มี "Permanent Portfolio" (พอร์ตถาวร) ผมจะผสม หุ้น VT (25%), พันธบัตรยาว TLT (25%), ทองคำ GLD (25%), และเงินสด (25%) ด้วยตัวเอง เป็นการกระจายความเสี่ยงแบบสุดขั้วเพื่อรับมือกับทุกสภาวะเศรษฐกิจ: เติบโต, ถดถอย, เงินเฟ้อ, และเงินฝืด
9️⃣9️⃣ ถ้าไม่มีกลยุทธ์ป้องกันความเสี่ยงจาก "หงส์ดำ" (Black Swan) ผมจะถือ Berkshire Hathaway (BRK.😎 อีกครั้ง เพราะภายใต้วิกฤต Berkshire มักจะเป็นผู้ให้สภาพคล่องแก่ตลาด ด้วยเงินสดมหาศาลและความสามารถในการเข้าซื้อกิจการในราคาที่เหมาะสม มันคือเดิมพันว่า "เหตุผล" และ "ความรอบคอบ" จะชนะเสมอในระยะยาว
1️⃣0️⃣0️⃣ ถ้าไม่มี "ธีมแห่งอนาคต" ที่แน่นอน ผมจะถือ Thermo Fisher Scientific (TMO) อีกครั้ง แต่ในฐานะ "เดิมพันกับความก้าวหน้าของมนุษยชาติ" ไม่ว่าเทรนด์สุขภาพ, พลังงาน, หรือวัสดุศาสตร์จะไปทางไหน ทุกการวิจัยและค้นพบใหม่ก็ต้องพึ่งพาเครื่องมือจากบริษัทนี้อยู่ดี
1️⃣0️⃣1️⃣ ถ้าไม่มีกองทุน Credit Rating Agencies ผมจะถือ Moody's (MCO) คู่กับ S&P Global (SPGI) เพราะนี่คือธุรกิจผูกขาดที่ทำหน้าที่เป็น "ผู้คุมประตูโลกการเงิน" ทุกบริษัทที่ต้องการออกหุ้นกู้ต้องมาจ่ายค่าบริการให้สองเจ้านี้เสมอ
1️⃣0️⃣2️⃣ ถ้าไม่มีกองทุน Stock Exchanges ผมจะเลือก CME Group (CME) เจ้าของตลาดอนุพันธ์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก เปรียบเสมือน "เจ้าของบ่อนที่เก็บค่าต๋ง" ยิ่งตลาดผันผวน คนยิ่งเทรดเยอะ CME ก็ยิ่งมีรายได้ โดยไม่ต้องสนว่าตลาดจะขึ้นหรือลง
1️⃣0️⃣3️⃣ ถ้าไม่มีกองทุน Food Ingredients ผมจะถือ Givaudan (GIVN.SW) บริษัทสัญชาติสวิสที่เป็น "ผู้อยู่เบื้องหลังรสชาติและกลิ่น" ของสินค้าอุปโภคบริโภคทั่วโลก ตั้งแต่ขนมไปจนถึงน้ำหอม เป็นส่วนประกอบสำคัญที่แบรนด์ใหญ่ๆ เปลี่ยนซัพพลายเออร์ได้ยาก
1️⃣0️⃣4️⃣ ถ้าไม่มีธีม Longevity (การมีอายุยืน) ผมจะถือ CRISPR Therapeutics (CRSP) แม้จะเสี่ยงสูง แต่มันคือการเดิมพันกับเทคโนโลยีตัดต่อยีนที่อาจปฏิวัติการรักษาโรคทางพันธุกรรม เป็น "การเดิมพันกับการเขียนรหัสชีวิตใหม่"
1️⃣0️⃣5️⃣ ถ้าไม่มีกองทุน Automation & Robotics ผมจะถือ Fanuc (6954.T) บริษัทญี่ปุ่นผู้ผลิต "แขนกลสีเหลือง" ที่ใช้ในโรงงานอุตสาหกรรมทั่วโลก เป็นกระดูกสันหลังของระบบการผลิตอัตโนมัติที่ขาดไม่ได้
1️⃣0️⃣6️⃣ ถ้าไม่มีกองทุน Japanese Trading Houses (Sogo Shosha) ผมจะถือ Itochu (8001.T) เพราะนี่คือบริษัทการค้าครบวงจรที่ Warren Buffett เลือกลงทุน ทำธุรกิจตั้งแต่ต้นน้ำ (เหมืองแร่) ไปจนถึงปลายน้ำ (ร้านสะดวกซื้อ) เหมือนถือ "ชีพจรเศรษฐกิจญี่ปุ่นและโลก"
1️⃣0️⃣7️⃣ ถ้าไม่มีกองทุน Southeast Asia ผมจะถือ DBS Group (D05.SI) ธนาคารที่ใหญ่ที่สุดในสิงคโปร์และมีเครือข่ายแข็งแกร่งทั่วอาเซียน เป็นตัวแทนของความมั่งคั่งและศูนย์กลางทางการเงินของภูมิภาคที่กำลังเติบโต
1️⃣0️⃣8️⃣ ถ้าไม่มีธีม "AI Infrastructure" แบบเจาะจง ผมจะถือ Vertiv (VRT) อีกครั้ง แต่ในมุมของ "ระบบปรับอากาศและหลอดเลือดของ AI" เพราะ GPU ที่ร้อนแรงของ Nvidia ต้องการระบบระบายความร้อนและจัดการพลังงานประสิทธิภาพสูงซึ่งเป็นธุรกิจหลักของ Vertiv
1️⃣0️⃣9️⃣ ถ้าไม่มีกองทุน Insurance Brokers ผมจะถือ Marsh & McLennan (MMC) บริษัทนายหน้าประกันภัยและที่ปรึกษาความเสี่ยงอันดับหนึ่งของโลก พวกเขาไม่ได้แบกรับความเสี่ยงเอง แต่กินค่าคอมมิชชันจากการให้คำปรึกษาแก่บริษัทยักษ์ใหญ่ จึงเป็นธุรกิจที่มั่นคงและเติบโตตามความซับซ้อนของเศรษฐกิจ
1️⃣1️⃣0️⃣ ถ้าไม่มีธีม Music Royalties ผมจะถือ Universal Music Group (UMG.AS) เจ้าของลิขสิทธิ์เพลงที่ใหญ่ที่สุดในโลก ทุกครั้งที่มีคนสตรีมเพลงของ Taylor Swift หรือ The Beatles บน Spotify เงินส่วนหนึ่งจะไหลเข้า UMG โดยอัตโนมัติ
1️⃣1️⃣1️⃣ ถ้าไม่มีกองทุน Specialty Chemicals ผมจะถือ Linde (LIN) อีกครั้ง แต่ในฐานะผู้ผลิตก๊าซอุตสาหกรรมหายากที่จำเป็นต่อการผลิตเซมิคอนดักเตอร์และเวชภัณฑ์ เป็น "อากาศบริสุทธิ์" ที่อุตสาหกรรมไฮเทคขาดไม่ได้
1️⃣1️⃣2️⃣ ถ้าไม่มีกองทุน Global Brands ผมจะถือ McDonald's (MCD) เพราะนี่คือแบรนด์ที่ไม่ใช่แค่ร้านอาหาร แต่เป็น "ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ที่ขายแฮมเบอร์เกอร์" มีทำเลทองอยู่ทั่วโลกและมีมาตรฐานแฟรนไชส์ที่แข็งแกร่งที่สุด
1️⃣1️⃣3️⃣ ถ้าไม่มีกองทุน Aerospace Suppliers ผมจะถือ Safran (SAF.PA) บริษัทฝรั่งเศสผู้ผลิตเครื่องยนต์ไอพ่น LEAP ที่ใช้ในเครื่องบิน Boeing 737 MAX และ Airbus A320neo ซึ่งเป็นเครื่องบินที่ขายดีที่สุดในโลก รายได้มาจากการซ่อมบำรุงระยะยาว
1️⃣1️⃣4️⃣ ถ้าไม่มีกองทุน Agricultural Technology ผมจะถือ Trimble (TRMB) ผู้นำด้านเทคโนโลยี GPS และ Precision Agriculture ที่ช่วยให้เกษตรกรวางแผนการเพาะปลูก, ใส่ปุ๋ย, และเก็บเกี่ยวได้อย่างแม่นยำ ลดต้นทุนและเพิ่มผลผลิต
1️⃣1️⃣5️⃣ ถ้าไม่มีกองทุน European Financials ผมจะถือ BNP Paribas (BNP.PA) ธนาคารที่ใหญ่ที่สุดในยุโรป มีความหลากหลายทางธุรกิจและภูมิศาสตร์สูงกว่าธนาคารอื่นๆ ในภูมิภาค ทำให้มีความยืดหยุ่นต่อวิกฤตเศรษฐกิจได้ดี
1️⃣1️⃣6️⃣ ถ้าไม่มีธีม "Electrification of Everything" ผมจะถือ Schneider Electric (SU.PA) บริษัทฝรั่งเศสที่เป็นผู้นำด้านระบบจัดการพลังงานและระบบอัตโนมัติในอาคารและโรงงาน เป็นหุ้นที่ได้ประโยชน์โดยตรงเมื่อโลกเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานไฟฟ้า
1️⃣1️⃣7️⃣ ถ้าไม่มีกองทุน Engineering Software ผมจะถือ Dassault Systèmes (DSY.PA) เจ้าของซอฟต์แวร์ออกแบบ 3D (CATIA, SOLIDWORKS) ที่วิศวกรในอุตสาหกรรมรถยนต์, อากาศยาน, และสินค้าไฮเทคทั่วโลกต้องใช้
1️⃣1️⃣8️⃣ ถ้าไม่มีกองทุน Testing & Inspection ผมจะถือ SGS SA (SGSN.SW) บริษัทสวิสที่ให้บริการตรวจสอบ, ทดสอบ, และรับรองมาตรฐานสินค้าทุกชนิด ตั้งแต่ของเล่นเด็กไปจนถึงน้ำมันดิบ เป็น "ผู้สร้างความไว้วางใจ" ในห่วงโซ่อุปทานโลก
1️⃣1️⃣9️⃣ ถ้าไม่มีกองทุน Canadian Banks ผมจะถือ Royal Bank of Canada (RY.TO) เพราะธนาคารแคนาดาขึ้นชื่อเรื่องความมั่นคงจากการควบคุมธุรกิจแบบ Oligopoly และ RBC คือเบอร์หนึ่งที่ปันผลสม่ำเสมอมาเกิน 100 ปี
1️⃣2️⃣0️⃣ ถ้าไม่มีกองทุน Medical Distribution ผมจะถือ McKesson (MCK) หนึ่งในสามผู้จัดจำหน่ายยาและเวชภัณฑ์รายใหญ่ของสหรัฐฯ ทำหน้าที่เป็น "ท่อส่งยา" ที่เชื่อมระหว่างผู้ผลิตกับโรงพยาบาลและร้านขายยา เป็นธุรกิจที่สังคมขาดไม่ได้
1️⃣2️⃣1️⃣ ถ้าไม่มีกองทุน Global Trade ผมจะถือ Maersk (MAERSK-B.CO) บริษัทขนส่งทางเรือที่ใหญ่ที่สุดในโลก ตู้คอนเทนเนอร์ของ Maersk คือ "ชีพจรของเศรษฐกิจโลก" ที่สะท้อนปริมาณการค้าขายระหว่างประเทศโดยตรง
1️⃣2️⃣2️⃣ ถ้าไม่มีกองทุน B2B E-commerce ผมจะถือ Ferguson (FERG) ผู้จัดจำหน่ายอุปกรณ์ประปา, ระบบทำความร้อนและความเย็น (HVAC) รายใหญ่ในสหรัฐฯ ผ่านแพลตฟอร์มดิจิทัลที่แข็งแกร่งสำหรับช่างและผู้รับเหมา
1️⃣2️⃣3️⃣ ถ้าไม่มีกองทุน Veterinary Care ผมจะถือ Idexx Laboratories (IDXX) ผู้นำด้านเครื่องมือตรวจวินิจฉัยโรคสำหรับสัตว์เลี้ยงในคลินิกทั่วโลก เป็นโมเดล "มีดโกนกับใบมีด" ที่สัตวแพทย์ต้องสั่งซื้อชุดตรวจซ้ำๆ
1️⃣2️⃣4️⃣ ถ้าไม่มีกองทุน Active Management ผมจะถือ Danaher (DHR) บริษัทที่เชี่ยวชาญการเข้าซื้อกิจการในกลุ่มวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี แล้วนำระบบบริหารจัดการ Danaher Business System (DBS) เข้าไปเพิ่มประสิทธิภาพ สร้างมูลค่าให้ผู้ถือหุ้นอย่างสม่ำเสมอ
1️⃣2️⃣5️⃣ ถ้าไม่มีกองทุน Indian Consumer ผมจะถือ Titan Company (TITAN.NS) บริษัทในเครือ TATA ที่เป็นผู้นำตลาดเครื่องประดับและนาฬิกาในอินเดีย ได้ประโยชน์โดยตรงจากกำลังซื้อของชนชั้นกลางที่เพิ่มขึ้น
1️⃣2️⃣6️⃣ ถ้าไม่มีกองทุน European Industrials ผมจะถือ Atlas Copco (ATCO-A.ST) บริษัทสวีเดนผู้ผลิตคอมเพรสเซอร์และเครื่องมือสำหรับโรงงานอุตสาหกรรม มีชื่อเสียงด้านนวัตกรรมและบริการหลังการขายที่แข็งแกร่ง
1️⃣2️⃣7️⃣ ถ้าไม่มีกองทุน Beauty & Cosmetics ผมจะถือ L'Oréal (OR.PA) บริษัทเครื่องสำอางที่ใหญ่ที่สุดในโลก มีแบรนด์ในพอร์ตตั้งแต่ตลาดแมส (Garnier) ไปจนถึงลักชัวรี (Lancôme) ทำให้เข้าถึงผู้บริโภคได้ทุกกลุ่ม
1️⃣2️⃣8️⃣ ถ้าไม่มีกองทุน Data Analytics ผมจะถือ Verisk Analytics (VRSK) บริษัทที่วิเคราะห์ข้อมูลความเสี่ยงให้กับอุตสาหกรรมประกันภัยและพลังงาน ช่วยให้ลูกค้าตัดสินใจได้อย่างแม่นยำ เป็น "มันสมอง" ที่ลูกค้าขาดไม่ได้
1️⃣2️⃣9️⃣ ถ้าไม่มีกองทุน Hotel & Lodging ผมจะถือ
Marriott International (MAR) เจ้าของเครือโรงแรมที่ใหญ่ที่สุดในโลก ซึ่งรายได้หลักมาจากค่าธรรมเนียมการบริหารและแฟรนไชส์ ไม่ต้องแบกรับต้นทุนการเป็นเจ้าของสินทรัพย์เอง (Asset-light)
1️⃣3️⃣0️⃣ ถ้าไม่มีกองทุน Casino & Gaming ผมจะถือ Vici Properties (VICI) REIT ที่เป็นเจ้าของอสังหาริมทรัพย์ของกาสิโนชื่อดังในลาสเวกัส เช่น Caesars Palace โดยมีสัญญาเช่าระยะยาวที่ปรับขึ้นตามเงินเฟ้อ เหมือนเป็น "เจ้าของที่ดินบน Strip"
1️⃣3️⃣1️⃣ ถ้าไม่มีธีม Food Delivery ผมจะถือ Domino's Pizza (DPZ) เพราะนี่คือ "บริษัทเทคโนโลยีที่ขายพิซซ่า" ที่ลงทุนในระบบสั่งซื้อและจัดส่งของตัวเองมานาน จนมี
ประสิทธิภาพและกำไรสูงกว่าคู่แข่งที่ต้องพึ่งพาแอปฯ อื่น
1️⃣3️⃣2️⃣ ถ้าไม่มีกองทุน Staffing & HR Services ผมจะถือ Recruit Holdings (6098.T) บริษัทญี่ปุ่นเจ้าของ Indeed และ Glassdoor ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มหางานที่ใหญ่ที่สุดในโลก
1️⃣3️⃣3️⃣ ถ้าไม่มีกองทุน Australian Equities ผมจะถือ Commonwealth Bank of Australia (CBA.AX) ธนาคารที่ใหญ่ที่สุดในออสเตรเลีย ซึ่งเป็นตัวแทนของเศรษฐกิจที่ขับเคลื่อนด้วยทรัพยากรธรรมชาติและภาคบริการที่แข็งแกร่ง
1️⃣3️⃣4️⃣ ถ้าไม่มีกองทุน Waste & Recycling ผมจะถือ Casella Waste Systems (CWST) บริษัทจัดการขยะในสหรัฐฯ ที่มีความโดดเด่นด้านการรีไซเคิลและเปลี่ยนขยะเป็นพลังงาน ซึ่งเป็นเทรนด์ของอนาคต
1️⃣3️⃣5️⃣ ถ้าไม่มีกองทุน Alternative Asset Managers ผมจะถือ KKR & Co. (KKR) หนึ่งในผู้บุกเบิกตลาด Private Equity ที่ตอนนี้ขยายไปสู่สินเชื่อ, อสังหาริมทรัพย์, และโครงสร้างพื้นฐาน เป็น "ขุนพลการลงทุนทางเลือก" ที่ครบเครื่อง
1️⃣3️⃣6️⃣ ถ้าไม่มีกองทุน Education Technology ผมจะถือ Instructure Holdings (INST) เจ้าของแพลตฟอร์ม Canvas ที่มหาวิทยาลัยและโรงเรียนทั่วโลกใช้เป็นระบบจัดการการเรียนการสอนออนไลน์ เป็นโครงสร้างพื้นฐานที่เหนียวแน่น
1️⃣3️⃣7️⃣ ถ้าไม่มีกองทุน Sportswear ผมจะถือ Nike (NKE) เพราะไม่ใช่แค่บริษัทขายรองเท้า แต่เป็น "แบรนด์แห่งชัยชนะ" ที่มีพลังในการสร้างแรงบันดาลใจและกำหนดวัฒนธรรม ซึ่งเป็นความได้เปรียบที่ประเมินค่าไม่ได้
1️⃣3️⃣8️⃣ ถ้าไม่มีกองทุน Car Rental ผมจะถือ Copart (CPRT) แพลตฟอร์มประมูลซากรถยนต์ออนไลน์ที่กินรวบตลาด เป็นธุรกิจที่ได้ประโยชน์จากจำนวนอุบัติเหตุและภัยธรรมชาติซึ่งเกิดขึ้นอย่างสม่ำเสมอ

1️⃣3️⃣9️⃣ ถ้าไม่มีกองทุน Farm & Ranch Stores ผมจะถือ Tractor Supply (TSCO) ร้านค้าปลีกสำหรับวิถีชีวิตในชนบทของอเมริกา ขายตั้งแต่หัวอาหารสัตว์, อุปกรณ์ทำสวน, ไปจนถึงเสื้อผ้าสำหรับชาวไร่ เป็นตลาดเฉพาะกลุ่ม (Niche) ที่แข็งแกร่งมาก
1️⃣4️⃣0️⃣ ถ้าไม่มีธีม Business Uniforms ผมจะถือ Cintas (CTAS) ผู้นำตลาดบริการให้เช่าและซักรีดชุดยูนิฟอร์ม, พรมเช็ดเท้า, และอุปกรณ์ในห้องน้ำสำหรับธุรกิจต่างๆ เป็นรายได้ประจำที่คาดการณ์ได้ง่าย
1️⃣4️⃣1️⃣ ถ้าไม่มี กองทุนเทคโนโลยีอวกาศแห่งอนาคต (Future Space-Tech Fund) ผมจะถือ AST SpaceMobile (ASTS) เพราะนี่คือการเดิมพันครั้งใหญ่กับการสร้าง "เสาสัญญาณมือถือบนวงโคจร" ที่จะให้บริการ 5G ตรงสู่สมาร์ทโฟนได้ทุกที่ในโลก เป็นการลงทุนสไตล์ Venture Capital ที่เสี่ยงสูงลิ่ว แต่ก็มีอัปไซด์มหาศาลหากทำสำเร็จ เพราะมันจะเปลี่ยนโฉมหน้าอุตสาหกรรมโทรคมนาคมไปตลอดกาล
1️⃣4️⃣2️⃣ Joby Aviation (JOBY)
ผู้นำการปฏิวัติการเดินทางในเมืองด้วย "แท็กซี่บินได้" (eVTOL) ที่จับต้องได้จริง การเป็นเจ้าของเทคโนโลยีครบวงจรตั้งแต่การออกแบบ ผลิต และวางแผนให้บริการเอง ทำให้ Joby อยู่ในตำแหน่งที่ดีที่สุดที่จะครองตลาดการสัญจรทางอากาศในเมืองแห่งอนาคต
1️⃣4️⃣3️⃣ Uber (UBER)
ไม่ใช่แค่แอปเรียกรถ แต่คือ "ระบบปฏิบัติการสำหรับการใช้ชีวิตในเมือง" ที่มี Network Effect มหาศาล ทั้งในธุรกิจเรียกรถ (Mobility) และส่งอาหาร (Delivery) พลังของแบรนด์และข้อมูลในมือ คือความได้เปรียบที่คู่แข่งลอกเลียนแบบได้ยาก
1️⃣4️⃣4️⃣ Tesla (TSLA) / xAI
เดิมพันกับอนาคตที่ไกลกว่ารถยนต์ไฟฟ้า นี่คือการลงทุนใน "AI ที่มีตัวตน" ผ่านหุ่นยนต์ Optimus ที่จะมาปฏิวัติแรงงานในโลกจริง และ "AI ที่มีความเข้าใจ" อย่าง xAI ที่มุ่งสู่ปัญญาระดับจักรวาล การรวมกันของสองสิ่งนี้คือการวางรากฐานให้กับเศรษฐกิจยุคใหม่ทั้งหมด
1️⃣4️⃣5️⃣ ถ้าไม่มีกองทุน Business Consulting ผมจะถือ Accenture (ACN) บริษัทที่ปรึกษาด้านเทคโนโลยีและธุรกิจที่ใหญ่ที่สุดในโลก เป็น "สมองภายนอก" ที่ช่วยให้บริษัทยักษ์ใหญ่ปรับตัวเข้าสู่ยุคดิจิทัล
1️⃣4️⃣6️⃣ ถ้าไม่มีกองทุน Life Sciences Tools ผมจะถือ Thermo Fisher Scientific (TMO) ผู้ผลิตเครื่องมือ, วัสดุสิ้นเปลือง, และซอฟต์แวร์สำหรับห้องปฏิบัติการวิจัยทั่วโลก เหมือนเป็น "Home Depot ของนักวิทยาศาสตร์"
1️⃣4️⃣7️⃣ ถ้าไม่มีกองทุน Human Capital Management ผมจะถือ Automatic Data Processing (ADP) ผู้นำด้านบริการจ่ายเงินเดือน (Payroll) และบริหารทรัพยากรบุคคล ที่ธุรกิจนับล้านแห่งทั่วโลกไว้วางใจ เป็นบริการที่ "เหนียว" และเปลี่ยนออกยากมาก
1️⃣4️⃣8️⃣ ถ้าไม่มีกองทุน Dialysis Care ผมจะถือ DaVita (DVA) หนึ่งในผู้ให้บริการฟอกไตรายใหญ่ที่สุดในสหรัฐฯ เป็นบริการทางการแพทย์ที่จำเป็นต่อชีวิต และเป็นธุรกิจที่ Warren Buffett เคยลงทุน
1️⃣4️⃣9️⃣ ถ้าไม่มีกองทุน "Antifragile" (ที่แข็งแกร่งขึ้นเมื่อเจอวิกฤต) ผมจะถือ Cboe Global Markets (CBOE) เจ้าของ VIX Index หรือ "ดัชนีความกลัว" ทุกครั้งที่ตลาดตื่นตระหนกและผันผวน ปริมาณการซื้อขายผลิตภัณฑ์ที่อิงกับ VIX จะพุ่งสูงขึ้น สร้างรายได้ให้ Cboe เป็นกอบเป็นกำ
1️⃣5️⃣0️⃣ ถ้าไม่มีอะไรเลย... ผมจะถือ Vanguard Total World Stock ETF (VT) เพราะมันคือคำตอบสุดท้ายที่เรียบง่ายที่สุด การเป็นเจ้าของหุ้นเกือบทุกตัวบนโลก คือการยอมรับว่าเราไม่รู้ว่าอนาคตจะเป็นอย่างไร แต่เราเชื่อมั่นในการเติบโตของเศรษฐกิจโลกในระยะยาว
1️⃣5️⃣1️⃣และสุดท้ายถ้าวันนี้ไม่มีใครสอนคุณลงทุนตั้งแต่เริ่ม และไม่อยากเสียเงินเพื่อเริ่มต้นปูพื้นฐานหรือโดนหลอก ผมอยากให้ติดตาม
Earthh Evans คนนี้เอาไว้ครับ
Not Financial advice